Travel and Lifestyle

, , , , ,

Tokyo รอบเดียวไม่พอ


ญี่ปุ่น เป้าหมายแรกในการเดินทางไปเที่ยวต่างแดนของเรา
    
เราต่างก็เคยได้ยินใครๆ พูดถึงข้อดีของประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบายในการเดินทาง ศิลปะวัฒนธรรม และอาหารการกิน (ที่ถึงแม้ตอนนี้ในไทยจะมีเยอะมาก แต่ก็อยากไปลองแบบต้นตำรับกันสักครั้งใช่ไหมล่ะ) รวมไปถึงเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าถ้าไปแล้วจะอยากไปอีก ทำให้เราตัดสินใจได้ไม่ยากเลย...
    

FYI :
ที่มาของคำว่า "แดนอาทิตย์อุทัย" ประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ละติจูดที่ 20 จึงเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของโลก (ละติจูดที่ 1-19 เป็นทะเล) แต่ละวันใหม่ พระอาทิตย์จะส่องแสงในดินแดนของชาวญี่ปุ่นเป็นแห่งแรกในโลก ฝรั่งจึงตั้งให้ว่าเป็น ‘Land of the Rising Sun’



    
START :
เราออกเดินทางประมาณ 23.45 น.  ถึงสนามบินนาริตะ 07.00 น. ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย อุณหภูมิประมาณ 5 องศารอต้อนรับเราตั้งแต่ลงจากเครื่อง ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคมปี 2559 เป็นฤดูหนาวของประเทศญี่ปุ่นแล้ว ที่โตเกียวเย็นสบายกำลังดีเลย
เราเลือกเดินทางช่วงกลางคืน กะว่ามีเวลาให้นอนพัก ตื่นมาก็เที่ยวเลย แต่ที่ไหนได้นอนไม่ค่อยหลับเลย ตามประสาคนนอนดึกจนชิน ได้แต่แอบมองคนอื่นหลับตอนเดินไปเข้าห้องน้ำ บางคนก็กรนเลยจ้า เรานี่อิจฉาจริงๆ ไม่นานก็เริ่มมีแสงลอดเข้ามา ปรับระดับความสว่างขึ้นเรื่อยๆ ไล่สีท้องฟ้าได้อย่างสวยงามมากกกก เป็นสัญญาณให้เรารู้ว่าใกล้ถึงจุดหมายเต็มที หลังจากเมื่อยมานานนน



หลังจากผ่านด่าน ตม. มาอย่างฉลุย เราก็เดินหาซื้อตั๋ว Skyliner ทั้งขาไปและขากลับ + Subway 72 hr (ค้นหาข้อมูลในกูเกิ้ลได้เลย มีอธิบายไว้เยอะ) การเดินทางส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นใช้บริการ Subway และก็เดิน เดินอย่างมหาศาล!!! แอบมีแวบไปใช้สาย JR Yamanote กับ Yurikamome รถไฟไร้คนขับบ้าง เพื่อไป Odaiba จะมีเสียเงินเพิ่มนิดหน่อยจากแพคเกจที่เราซื้อมา

    

ใช้เวลาประมาณ 42 นาที จากสนามบินนาริตะมายังสถานี Ueno รถไฟดีอะ นั่งสบายและเร็วดีจัง ถือเป็นความประทับใจแรกเลย หลังจากลงที่ Ueno เราก็ทำการเดินไปยังที่พัก ซึ่งจริงๆ แล้วสามารถต่อรถไฟไปอีกก็ได้ แต่ไม่ต่อจ้า คึกคักอยากเดิน (แนะนำควรเก็บแรงไว้ อย่าคึกมาก) ที่พักของเราอยู่ย่าน Asakusa ระหว่างทางก็จะมีวิวแม่น้ำซุมิดะ โตเกียวสกายทรี ฯลฯ

ที่พักของเราทริปนี้ : https://www.wongglom.com/2018/05/hotel-mystays-asakusa-tokyo.html




เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเช็คอินของโรงแรม เราก็กะว่าจะไปฝากกระเป๋าไว้ก่อน เผื่อฟลุ๊คถ้าห้องว่าง เขาคงให้เข้าได้เลย แล้วมันก็เป็นแบบนั้นแหละ พอจ่ายเงินค่าห้องเสร็จสรรพเราก็ขึ้นไปเก็บของ เอนกายาบนที่นอนนุ่มๆ พักหนึ่ง แล้วก็ออกลุยต่อเลย
DAY 1 : ตะลุยย่าน Asakusa
เริ่มเดินจากที่พัก ไปวัดเซนโซจิ วัดอาซากุสะ หรือจะวัดโคมแดงก็ที่เดียวกันนี่แหละค่ะ





    


หลังจากนั้นเราไปต่อยังย่าน Yanaka เราแวบไปใช้บริการรถไฟ JR Yamanote อยากทดลองหยอดตู้ซื้อตั๋วเองดูบ้าง ลงสถานี Nippori ไม่ใกล้จาก Ueno มากนัก ถ้าจะขึ้น Subway มาลงที่สถานี Sendagi (C15) หรือ Nishi-nippori (C16) ก็ได้ แล้วก็อาศัยเปิดแผนที่เดินไป



 เราเดินไปเรื่อย ลัดเลาะผ่านโรงเรียน ชุมชน หรือแม้กระทั่งแต่สุสาน


จุดหมายที่เราจะมาก็คือที่ Cat Street จะเป็นอารมณ์ชุมชน ไม่วุ่นวาย ตอนที่เราไปไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก บริเวณนั้นก็จะมีร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ มีทั้งที่เป็นสินค้าแมวแมว และสินค้าปกติทั่วไปจ้า






เสร็จจากตรงนี้ เราก็เดินกลับไปที่สถานีรถไฟ เทคนิคง่ายๆ ทั้งไปและกลับ คือเปิดแผนที่ไปยัง Subway สถานีที่ใกล้ที่สุดแล้วก็เดินไปค่ะ เพราะบัตรที่ซื้อมา มันขึ้นลงได้เต็ม จะแวะกี่สถานีก็ได้ (แต่ก็ต้องดูสายให้ชัดเจน เพราะนอกจากนี้ยังมีรถไฟความเร็วสูงอื่นๆ อีก)


FYI :
ที่เที่ยวที่เราไปก็เบสิคเลยสำหรับครั้งแรก พวกสถานีดัง หาข้อมูลง่ายๆ ได้แก่สถานี Asakusa, Ueno, Toyko, Akihabara, Shibuya, Shinjuku, Ikebukuro, Ginza, Roppongi และ Odaiba เป็นต้น

พูดเรื่องอาหารการกินสักหน่อย สำหรับเราชอบอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว ได้มากินจากต้นตำรับก็ฟินไปอีกกกกก มีหลากหลายราคา ทั้งถูกและดี หรือแพงและดี ก็แล้วแต่เงินในกระเป๋าเราเลย บางอย่างก็อาจจะไม่ถูกปากเรานะคะ เรื่องปกติ มันบ่แซ่บหนอ ฮ่าาา สำหรับใครที่งบจำกัดแนะนำไปแวะดูที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต พอตกดึกแล้วมีอาหารลดราคาเหมือนโลตัสบ้านเราเลย เราก็แวะไปสอยมา #ทีมหิวตอนดึก

สิ่งที่เราแปลกใจก็จะเป็นเรื่องขนาดของจานข้าว ชามราเมนต่างๆ ไม่รู้คนอื่นคิดเหมือนเราไหม เราคิดไปเองว่าจะมาจานเล็กแบบที่ไทยบางร้าน แต่เฮ้ย มันใหญ่มาก!!! คือเพิ่งรู้ว่าคนญี่ปุ่นกินกันจานใหญ่ขนาดนี้เลย เซอร์ไพรส์มากก เห็นตัวเล็กๆ กันแต่ก็กินหมดจานเลยด้วยความรวดเร็วอีกต่างหาก ตอนแรกแอบกลัวว่าจะไม่อิ่ม ปรากฏว่ามาจานใหญ่จนเรากินไม่หมดเลยทีเดียว ขนาดไปกินร้านที่มันถูกๆ ของเขาแล้วนะ คุ้มเกินราคามาก หรือเราโชคดีเลือกร้านถูกก็ไม่รู้




DAY 2 : ตลาดปลาสึกิจิ สถานีโตเกียว หน้าพระราชวังอิมพีเรียล และโอไดบะ
เริ่มต้นวันใหม่แบบสดชื่น วันแรกๆ ยังไม่เหนื่อยก็จะขยันตื่นแบบนี้ ลมหนาวบวกกับแดดอ่อนๆ นี่มันฟินน เราเดินไปสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด แนะนำให้เปิดแผนที่ดูให้ดี เพราะอาจจะมีใกล้กว่าที่เราคิดก็เป็นได้ เรานี่เด๋อเดินไปสองวัน เพิ่งรู้ว่ามีสถานีที่ใกล้กว่านิดหนึ่ง เพราะโรงแรมมักจะให้ข้อมูลอิงกับพวกสถานีใหญ่ๆ


ตลาดปลาซึกิจิ เป็นตลาดค้าส่งปลา ผัก ผลไม้ และวัตถุดิบต่างๆ ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียวเลย และถือเป็นตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้วย จะมีจุดที่เขาประมูลปลากันในช่วงเช้ามืด ซึ่งเราไม่ได้ไป เรามาโซนส่วนที่เป็นร้านค้า ร้านอาหารสำหรับคนทั่วไปเลย จะแบ่งเป็นตรอกซอกซอยเล็กๆ ซึ่งควรจะพกเงินไปเยอะๆ เลย ควรจัดหนักกินเยอะๆ ไปเลยค่ะ ไม่งั้นกลับมาไทยจะเสียดายแน่นอน ทุกอย่างน่ากินมาก ดูสดใหม่ อยากขลุกตัวอยู่ทั้งวัน



 ภาพของกินที่เราลงคือส่วนน้อยมากๆ ของจริงมีให้เลือกจนตาลาย


 เจ้ารถกระป๋องนี่จะวิ่งไป วิ่งมาขนของในตลาด





 ผักผลไม้ก็มีค่ะ ลูกโตๆ ทั้งนั้น




ไปต่อกันที่สถานี Tokyo แวะชมตัวอาคาร และเดินไปยังหน้าพระราชวังโตเกียวอิมพีเรียล เป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น สามารถเข้าชมภายในได้นะคะ ถ้าจำไม่ผิดต้องเข้าเว็บเพื่อลงทะเบียน เราอยู่แค่ด้านหน้า ถ่ายรูปกับสะพาน Nijubashi หรือสะพานแว่นตา เนื่องจากตัวสะพานเมื่อสะท้อนกับผิวน้ำจะมีลักษณะเหมือนแว่นตา เคยอ่านเจอมาว่าให้ไปช่วงเช้า เพราะจะเห็นว่าเป็นแว่นตาชัดที่สุด


 ตอนเราไปฟ้าอึมครึม เห็นแว่นตาบางๆ *ไว้เดี๋ยวหารูปมาลงใหม่ค่ะ หาไม่เจอ ฮ่าา


ประมาณบ่ายหนึ่ง เรามูฟไปที่ Odaiba เดินริมหาด ดูกันดั้ม นั่งชิงช้าสวรรค์ วิธีการเดินทางคือนั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Shimbashi (A10, G08) เดินไปต่อรถไฟไร้คนขับชื่อว่า Yurikamome ลงสถานี Odaiba ตรงชื่อเลยค่ะ 


 กันดั้มตัวนี้ปลดระวางไปแล้วนะ*



ชิงช้าสวรรค์ โมเมนต์ดีๆ ที่ไม่ควรพลาดที่โอไดบะ เรากะเวลาขึ้นก่อนพระอาทิตย์ใกล้ตก
จะได้เห็นแสงสวยๆ ขาขึ้นก็ยังสว่างอยู่ พอลงมาก็ฟ้ามืดแล้ว ^^


    


DAY 3 : Ochanomizu, Akihabara
ตื่นนอนมาด้วยความยากลำบาก เพราะขี้เกียจตื่น ช่วงเช้าเราเริ่มกันที่ย่าน Ochanomizu (M20) มีอุปกรณ์ดนตรีขาย ของไม่ได้มีเยอะมาก เป็นเพียงแค่ถนนเส้นสั้นๆ ส่วนใหญ่เป็นกีต้าร์เต็มไปหมด แถวนี้เหมือนจะมีแต่คนญี่ปุ่นไม่มีนักท่องเที่ยวเลย เราก็เดินชมบรรยากาศไปเรื่อย ที่มาแถวนี้เพราะคนที่มาด้วยเป็นนักดนตรี เลยอยากมาเดินดู บวกกับหามื้อเช้ากินแถวนี้เลย โดนข้าวแกงกะหรี่ไปจานเบ้อเริ่มเทิ่ม



กลางวันเราไปต่อที่ Akihabara (H15) ย่านนี้จะมีพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า กล้องถ่ายรูป บลาๆๆ มีให้เลือกหลากหลายมาก เราไม่ค่อยชอบแถวนี้เท่าไหร่ เพราะว่าไม่มีตังค์ซื้อ เดินไปก็เกิดกิเลส ฮ่าาา หัวเราะทั้งน้ำตา T^T เดินสอดส่องถ่ายรูปเล่น แวะเล่นเกมคีบตุ๊กตา ชมนั่นนี่ไปเรื่อย เพราะทุกอย่างแปลกตาไปหมดเลย


ช่วงบ่ายแก่ๆ ไปถึงค่ำ ไปลุยต่อที่ Ebisu และ Roppongi ปิดท้ายดูไฟก่อนเข้าที่พักที่สถานี Shiodome (E19) พอดีช่วงที่เราไปเดือนธันวา ก่อนเทศกาลคริสต์มาส หลายๆ ที่เขาก็จะมีงานแสดงจัดไฟ มีเป็นตารางแสดงจริงจังออกมาเลยนะ ใครที่จะไปช่วงนั้นก็ลองหาเช็คตามเพจเที่ยวญี่ปุ่นต่างๆ ดูค่ะ ไม่ใช่แค่ทั้งนักท่องเที่ยวเท่านั้นที่แวะไปดู คนญี่ปุ่นเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เหมือนที่เราแห่ไปดูไฟที่เซ็นทรัลเวิร์ลอะไรอย่างงั้นเลย



Roppongi Hill


สถานี Shiodome
(ไฟสีน้ำเงิน) แสดงไฟประกอบกับดนตรี ช่วงสิ้นปีเห็นว่าเขามีอีเว้นท์ตลอดนะ



DAY 4 : Ikebukuro, Shibuya, Shinjuku
จัดเต็มตะลุยด้วยกันทั้งหมด 4 ย่านเลยวันนี้ อยากจิถอดขาออกมานั่งนวดถ้าทำได้ >_<

เริ่มแรกที่ Ikebukuro (Y09, F09, M25) เป็นย่านการ์ตูน โมเดล เกม หนังสือ เกี่ยวกับการ์ตูนจ๋าเลย ใครชื่นชอบพวกนี้คือฟิน ซึ่งเราไม่ใช่แนวเราทั้งคู่เล๊ยยย แต่ก็ยังเพลินเพลิด ตื่นเต้นอยู่ดี เดินดูความน่ารักของคนญี่ปุ่น วัยรุ่นหนุ่มสาวก็มากันเพียบ! คนที่นี่เสพการ์ตูนกันจริงจังมากจริงๆ ยอมใจ



ห้าแยกชิบูย่า ที่เราคิดไปเองว่ามันจะใหญ่โตกว่านี้ แถวนี้ก็จะคึกคักมากหน่อย
คนเยอะแทบจะตลอดเลยก็ว่าได้ เป็นแหล่งที่สาวๆ หลายคนน่าจะชอบ เสื้อผ้าสวยๆ เพียบเลย


รูปปั้นสุนัข Hachiko ที่สถานี Shibuya ตอนนั้นประทับใจที่ทุกคนต่อคิวถ่ายรูป  น่าจะได้ภาพสวยๆ กลับไปกันทุกคน เรานั่งพักตรงนั้นพักหนึ่ง มองไปที่รูปปั้นมันสัมผัสได้ถึงความซื่อสัตย์ของเขาเลยอะ เพราะฉันเปงทาสหมาทาสแมววว อาจจะดูเวอร์ไปหน่อยแต่นี่เกือบน้ำตาแตกเพราะคิดถึงหนังที่เคยดู


สถานีรถไฟ Harajuku


ทางเดินเข้าศาลเจ้า Meiji มันก็จะไกลหน่อยๆ การมีน้ำดื่มติดตัวตลอดคือของวิเศษในการเที่ยวญี่ปุ่น เราไปช่วงเย็นแล้ว เกือบเดินไม่ทัน ซึ่งจริงๆ แวะถ่ายรูปตลอดทาง พอเราเข้าไปถึงตัวศาลได้ไม่นาน ก็ได้เวลาปิดทำการจ้า เกือบไปแล้วเชียว แนะนำให้เช็คเวลาปิดแต่ละสถานที่ที่จะไปให้ดีนะคะ นี่ขนาดเช็คแล้วนะ ฮ่าๆ



คืนนี้ไปต่อที่ Toyko Metropolitan Government Buildings เพื่อชมวิวกลางคืน มันก็ไม่ได้หวือหวาอะไรนัก ด้วยสถานที่ที่แคบไปหน่อย ชมวิวไม่เต็มตาเท่าไหร่ แต่ของฟรีอะห้ามบ่นเยอะ ไปถึงตึกตอนแรกก็กลัวเด๋อ จะต้องไปทางไหน แต่มีป้ายบอกชัดเจน แถมพาขึ้นลิฟต์ ก่อนลิฟต์ปิดมีโค้งคำนับทิ้งท้ายด้วย โอ้โหหห ทำไมต้องน่ารักขนาดนี้


ต่อ DAY 4 : ตอนกลางคืนแบบรถไฟหมด
หลังจากขึ้นไปดูวิวฟรีที่ Toyko Metropolitan Government Buildings มาแล้ว คืนนี้ยังไม่จบง่ายๆ วันพรุ่งนี้จะกลับไทยแล้ว วันนี้เลยจัดดึกเต็มที่ แวะร้าน Isomaru Suisan Ueno เปิด 24 ชม. เป็นอีกร้านที่ตอนนี้ใครมาญี่ปุ่นก็มักแวะกันทั้งนั้น ครึกครื้นมาก หัวก็เหม็นมากเช่นกัน แต่ยอม!

 มันก็จะไหม้ๆ หน่อย

    

DAY5 : ปิดท้ายครึ่งวันก่อนกลับบ้านที่ตลาด Ameyoko และ Ueno Park
ด้วยความที่ต้องนั่ง Skyliner จาก Ueno ไปสนามบินนาริตะอยู่แล้ว เลยเลือกจะเที่ยวแถวนี้เพื่อความชัวร์ดีกว่า เราขนของออกมาจากที่พักเลย ใช้บริการตู้ล็อกเกอร์ฝากกระเป๋า สะดวกมากกเดินตัวปลิว แวะไปกินและช๊อปปิ้งแบบเบาบางที่ตลาด Ameyoko บวกไปเก็บตกที่ Ueno Park วันแรกยังเดินไม่ทั่ว กว้างกว่าที่คิดไว้มากกกก เสียดายไม่ได้ถีบเรือเป็ด กลัวจะเพลินเกินไปเดี๋ยวตกเครื่องเอา


 เจอเด็กแก้มมะเขือเทศตลอดการเดินทาง น่าฟัดจริงๆ



ตลาด Ameyoko


หลังจากไปหาของกินที่ตลาด Ameyoko เรียบร้อย เราก็ไปเดินเล่นต่อที่ Ueno Park เพลินๆ ก่อนขึ้นรถไฟไปสนามบิน หากกลัวจะเพลินเกินแนะนำตั้งนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือค่ะ ที่สวนแห่งนี้เราจะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นในวันหยุด อีกทั้งยังมีวัด มุมร้านค้า ร้านอาหารเล็กๆ ไว้คอยให้บริการ เป็นภาพที่น่ารักดีค่ะ บรรยากาศสบายๆ จนไม่อยากกลับเลย








อย่างที่บอกทริปนี้ คือ การเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกของเราเลย ถือว่าประทับใจมาก เราก็หยิบสิ่งที่ประทับใจมาเล่าให้ฟัง ไม่มีที่ไหนสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นเนอะ... แต่ส่วนใหญ่ที่เราเจอพนักงานร้านต่างๆ มักจะดูเต็มใจบริการจริงๆ ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเลย เรื่องคมนาคมนี่ก็สุดยอดไปเลย ทำเอารถไฟฟ้าบ้านเราสั้นลงไปเยอะ ฮ่าๆๆ ส่วนเรื่องที่จะอดชมไม่ได้ก็ต้องฟุตบาท มันเดินสบายจริงๆ นะแกรร ออกแบบมาเพื่อให้ทุกคนใช้งานร่วมกันได้ ปลื้มจริงๆ ทิ้งท้ายด้วยการชื่นชมแต่เพียงเท่านี้ละกัน ขออนุญาตไปส่องตั๋วโปรต่อก่อนน้าา ครั้งเดียวไม่พอจริงๆ


หวังว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีกเร็วๆ นี้นะญี่ปุ่น <3 วงกลม.
ที่พักของเราทริปนี้ Hotel Mystays Asakusa
Review : https://www.wongglom.com/2018/05/hotel-mystays-asakusa-tokyo.html

Guide :
1: อยากไปไหนก็ลองไปเลยค่ะ ควรศึกษาก่อนไปทำถูกแล้ว แต่อย่าคิดไปว่าจะถูกใจเราทุกอย่าง
2: อาหารส่วนใหญ่อร่อย เราเดินตามคนญี่ปุ่นเข้าร้าน เลือกตามคนที่นั่นเลย
3: อาหารในซุปเปอร์มาร์เก็ตก็เด็ด พอตกดึกก็มีลดราคา คุณภาพดีด้วยนะเออ
4: เครื่องสำอาง ครีมบำรุง ยา วิตามินต่างๆ ควรศึกษาข้อมูลไปก่อนบ้าง หรือเซฟรูปไปด้วย เพราะไปถึงเจอสลากภาษาญี่ปุ่นล้วนมีงง เสียดายที่ไม่ได้ซื้อบางอย่างมา T^T
5: คนที่ไปต่างแดนครั้งแรก ควรศึกษากฎระเบียบ มารยาทของบ้านเมืองเขาก่อนไป อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้จักแล้วจะทำอะไรก็ได้น้า
6: ทุกวันควรเช็คพยากรณ์อากาศ เช็คเวลาพระอาทิตย์ตก รวมไปถึงเวลาเปิดและปิดของสถานที่ที่เราจะไปหน้าหนาวสี่โมงเย็นฟ้าก็มืดแล้วนะคะ วางแผนเที่ยวดีๆ
7: ภาษาอังกฤษ ถ้าได้ก็ดีถ้าไม่ได้ก็ชี้ค่ะ สบายมากก โดนพูดญี่ปุ่นใส่เราพูดไทยกลับ แต่ก็คุยกันรู้เรื่อง
8: ประกันภัยเดินทางก็สำคัญมากก กันไว้ดีกว่าแก้นะคะ 💛

Special Thanks :
ขอบคุณเพื่อนร่วมทาง เพราะนอกจากสถานที่ที่เราไปแล้ว
คนยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เที่ยวสนุกอีกด้วย 

ขอบคุณพี่วิ สำหรับกล้อง Xiaomi Yi และขอบใจเจน สำหรับกล้อง Fuji Xa2
ใช่ค่ะ! ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย




#WongGlom #Tokyo #Japan #วงกลม.
Share: